วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จิตวิทยากับการลงทุน (2)

ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM



ในครั้งก่อนได้แนะนำให้นักลงทุนรู้จัก Behavioral finance ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับกระบวนการ ตัดสินในลงทุนไปพอสังเขป ในครั้งนี้จะขอนำเสนอพฤติกรรมการลงทุนที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแบบ อื่นๆ เพื่อขยายขอบเขตความเข้าใจใน Behavioral finance มากขึ้น

Representativeness

มนุษย์มักมีพฤติกรรมเปรียบเทียบสิ่งที่ตนกำลังประสพอยู่กับประสบการณ์ที่ ตนเคยพบเห็นมาในอดีต และมีแนวโน้มที่จะพยายามหาหลักฐานหรือตัวอย่างของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมา เป็นเงื่อนไขในการพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาและช่วยให้การตัดสินใจ ของตนง่ายขึ้น เช่น ความเชื่อที่ว่านักเรียนที่สามารถทำคะแนนเฉลี่ยในการศึกษาระดับมัธยมปลายจะ ประสบความสำเร็จในการสอบเข้าและเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น อย่างไรก็ดีเงื่อนไขง่ายๆ เหล่านั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยบ่งชี้เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาได้ดีเพียงพอ เนื่องจากตัวอย่างที่นำมาเปรียบเทียบอาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี และปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอาจมาจากหลายสาเหตุ หรือสาเหตุเดียวกันก็อาจทำให้เกิดผลที่ตามมาได้หลากหลาย การใช้เงื่อนไขง่ายๆ เพียงหนึ่งหรือสองเงื่อนไขจึงไม่อาจพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาได้อย่าง แม่นยำ เช่น นักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ในระดับมัธยมปลายอาจไปเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ตนไม่ชอบหรือไม่ถนัดทำให้ไม่ ประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น

ตัวอย่างของ Representativeness ที่มักพบเห็นได้บ่อยในกระบวนการตัดสินใจลงทุนมีดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดีจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลกำไร บริษัทที่มีความแข็งแกร่งและผลประกอบการที่ดีอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นทางเลือก ในการลงทุนที่ดี แต่นักลงทุนก็สามารถขาดทุนมหาศาลจากบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีได้ หากเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวที่ราคาสูงเกินไป หรือเข้าซื้อหุ้นในขณะที่ผลกำไรของบริษัทปรับตัวสูงสุด (Peak of the business cycle) และมีแนวโน้มที่จะแย่ลง เป็นต้น การลงทุนจึงควรพิจารณาโดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดในอนาคตมากกว่า อดีตที่ผ่านไปแล้ว
2) กลยุทธ์การลงทุนแบบไล่ราคา คือกลยุทธ์การลงทุนที่ไล่ซื้อหุ้นที่ราคากำลังปรับตัวขึ้นโดยคาดว่าราคาหุ้น จะปรับตัวขึ้นต่อไป แม้ว่าการลงทุนแบบไล่ราคาอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำกำไรให้นักลงทุนได้ แต่หากการปรับตัวของราคาหุ้นขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่ เกี่ยวข้องในระยะยาวเป็นเพียงพฤติกรรมแห่ตามกันอย่างขาดเหตุผล การลงทุนแบบไล่ราคาก็อาจจบลงด้วยผลขาดทุนที่คาดไม่ถึงได้ นอกจากนี้งานวิจัยในต่างประเทศก็ยังระบุว่าหุ้นที่มีผลการดำเนินงานดีกว่า ตลาด (Outperform market) ในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้า จะมีผลการดำเนินงานที่แย่กว่าตลาดในช่วง 2-3 ปีต่อไป (Underperform market) จึงไม่อาจรับประกันได้ว่าหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในอดีตจะให้ผลกำไรดีอย่าง ต่อเนื่องในอนาคต

กล่าวโดยสรุป Representativeness เป็นพฤติกรรมที่จะลดทอนประสิทธิภาพการเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์โดยใช้เหตุผลของนักลงทุน ทำให้การตัดสินใจลงทุนขาดความรอบคอบ และมักทำให้เกิดการขาดทุนอย่างไม่คาดหมาย การตัดสินใจลงทุนจึงควรวิเคราะห์สาเหตุ (ปัจจัยพื้นฐาน ภาวะตลาด และสภาพแวดล้อมการลงทุน ฯลฯ) อย่างรอบคอบเพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ (การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น) ที่จะเกิดตามมามากกว่าการใช้เงื่อนไขง่ายๆ เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจดังกล่าวข้างต้น

Fear of regret & Seeking of pride

Fear of regret คือ พฤติกรรมที่นักลงทุนกลัวที่จะต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของตนผิดพลาด เป็นเหตุให้ไม่ตัดใจขายหุ้นที่ตนลงทุนผิดพลาดออกไป นักลงทุนจึงขาดทุนจากการไม่ยอมรับความจริงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ คำกล่าวที่มักพบบ่อยในกรณีนี้ เช่น ไม่ขายไม่ขาดทุน ขาดทุนอย่าขาย เป็นต้น ในความเป็นจริงหากผลขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้นจากปัจจัยที่ส่งผลระยะยาว เช่น ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่แย่ลงและกำลังจะแย่ต่อไปอีก การถือครองหุ้นนั้นต่อไปจะยิ่งทำให้ขาดทุนมากขึ้นๆ การตัดใจขายหุ้นนั้นออกไปเพื่อไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่ามา ชดเชย หรือขายออกไปก่อนเพื่อรอรับหุ้นนั้นกลับในราคาที่ถูกกว่าจึงเป็นทางเลือกที่ สมเหตุสมผลกว่า

Seeking of pride คือ พฤติกรรมที่นักลงทุนรู้สึกยินดีเมื่อรู้ว่าการตัดสินใจของตนถูกต้อง จึงพยายามขายหุ้นเพื่อรับรู้กำไรโดยละเลยการพิจารณาปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยว ข้อง เป็นเหตุให้นักลงทุนขายหุ้นที่ดีเร็วจนเกินไปจนเสียโอกาสที่จะทำกำไรจำนวน มากจากหุ้นนั้น

Fear of regret และ Seeking of pride เป็นพฤติกรรมที่กดดันให้นักลงทุนขายหุ้นที่แย่ช้าเกินไป (Hold loser too long) และขายหุ้นที่ดีเร็วเกินไป (Sell winner too early) ซึ่งอาจลดทอนผลกำไรจากการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนจึงควรตัดความรู้สึกดังกล่าวออกจากกระบวนการตัดสินใจลงทุน โดยยึดมุมมองต่อหุ้นเหล่านั้นในอนาคตเป็นหลักในการตัดสินใจ นักลงทุนพึงระลึกอยู่เสมอว่าหากราคาหุ้นที่ถือครองปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคา ที่ซื้อแปลว่านักลงทุนได้ขาดทุนไปแล้วแม้ว่านักลงทุนจะยังไม่ขายหุ้นออกไปก็ ตาม ดังนั้นหากนักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นดังกล่าวอาจปรับตัวลงต่อได้อีกก็ควรจะ ขายหุ้นนั้นออกไปไม่ว่าจะซื้อมาที่ราคาเท่าไร (Stop loss) ในทางกลับกันหากนักลงทุนเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวจะปรับตัวสูงขึ้นควรถือครอง หุ้นนั้นๆต่อไปไม่ว่าจะได้กำไรมาแล้วเท่าใดก็ตาม (Let’s profit run)

งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อ สังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น