วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จิตวิทยากับการลงทุน (1)

ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM


ในทางปฏิบัติหุ้นก็เป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันเช่นเดียวกับ สินค้าปกติ โดยนักลงทุนเป็นผู้กำหนดราคาของหุ้นตามอุปสงค์และอุปทานของนักลงทุนในแต่ละ ช่วงเวลาด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น ปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยเชิงเทคนิค การวิเคราะห์เชิงปริมาณ สภาพคล่อง หรือกระทั่งข่าวลือ ด้วยเหตุนี้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจึงมีส่วนถูกผลักดันด้วยจิตวิทยามวลชน ของนักลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเชิงวิชาการมีการศึกษาผลกระทบของปัจจัยด้านจิตวิทยามวลชนที่มีต่อราคาของ หลักทรัพย์ที่รู้จักกันในชื่อ Behavioral finance ซึ่งเป็นที่แพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

Behavioral finance เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการนำเอาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางสังคม อารมณ์ และความรู้สึกของมนุษย์มาอธิบายการตัดสินใจของนักลงทุนในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงผลกระทบของการตัดสินใจดังกล่าวที่มีต่อราคาสินทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาด้าน Behavioral finance ได้แสดงให้เห็นข้อโต้แย้งเกี่ยวข้องกับสมมุติฐานประสิทธิภาพของตลาดทุน (Efficient market hypothesis) พร้อมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ตลาดทุนไร้ประสิทธิภาพด้วยสาเหตุในด้าน จิตวิทยา เช่น พฤติกรรมตอบสนองมากเกินไปหรือน้อยเกินไป (Over-react and Under-react) พฤติกรรมแห่ตามกัน (Herding effect) และพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่อ้างอิงปัจจัยพื้นฐาน (Noise trading) เป็นต้น ดังนั้นการศึกษา Behavioral finance จะทำให้นักลงทุนเข้าใจถึงพฤติกรรมการลงทุนที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งจะช่วยปรับปรุงและพัฒนาวิธีการลงทุนของนักลงทุนให้ดียิ่งขึ้นได้

เนื่องด้วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ Behavioral finance ทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพมีอยู่มากมาย ประกอบกับหัวข้อที่ทำการศึกษาก็มีอยู่อย่างกว้างขวาง เพื่อให้กระชับและง่ายต่อการเข้าใจผู้เขียนจึงขอยกเอาหัวข้อพฤติกรรมที่น่า สนใจและพบได้บ่อยในกลุ่มนักลงทุนบางข้อมาอธิบายแต่พอสังเขป

Overconfidence

บางครั้งนักลงทุนก็มีความเชื่อมั่นสูงเกินไป โดยมองโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงกว่าความเป็นจริง สาเหตุอาจเกิดจากความสำเร็จของนักลงทุนในอดีตที่ผ่านมาหรือสภาพแวดล้อมของ การลงทุนในขณะนั้น โดยส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปของความเชื่อมั่นว่าตนสามารถหาข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ และความรวดเร็วกว่านักลงทุนทั่วไป หรือสามารถความตีความและนำข้อมูลที่มีอยู่ไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่านักลงทุน ทั่วไป ความเชื่อมั่นที่มากเกินไปนี้จะส่งผลประทบต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนใน หลายประการดังต่อไปนี้
1) ประเมินความเสี่ยงของความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ต่ำจนเกินไป ทำให้โดยพอร์ตการลงทุนมักมีความเสี่ยงมากกว่าที่นักลงทุนยอมรับได้ และผลลัพธ์จากการลงทุนก็มักจะอยู่นอกเหนือจากที่คาดการณ์
2) ประเมินความเสี่ยงไม่รอบด้าน ทำให้ระบุปัจจัยเสี่ยงที่กระทบกับการลงทุนไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาความเสี่ยงของตราสารที่มีความซับซ้อน เช่น ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) หรือหุ้นกู้อนุพันธ์ (Structured notes) เป็นต้น
3) เชื่อมั่นในการวิเคราะห์ พยากรณ์มากเกินไป ทำให้นักลงทุนขาดการติดตามการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ และปรับปรุงข้อมูลให้ทันต่อเหตุการณ์ แม้ว่าความเป็นจริงที่ปรากฏจะผิดไปจากที่พยากรณ์อย่างมีนัยสำคัญก็ตาม ความเชื่อมั่นดังกล่าวทำให้พอร์ตการลงทุนจึงมักพบการลงทุนที่กระจุกตัวและมี การกระจายความเสี่ยงน้อยกว่าที่ควร
4) เชื่อว่าตนสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆได้ และสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้นักลงทุนมันมีพฤติกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ถี่เกินความจำเป็น

พฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลให้การลงทุนขาดประสิทธิภาพ และมีความเสี่ยงมากกว่าที่ควร นักลงทุนจึงพึงระมัดระวัง และสำรวจตัวเองอย่างสม่ำเสมอว่ามีเชื่อมั่นมากเกินไปหรือไม่ โดยอาจสังเกตได้จากพฤติกรรมดังต่อไปนี้
1) หาข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนน้อยลง การตัดสินใจส่วนใหญ่มักอ้างอิงจากประสบการณ์
2) รับฟังความเห็นที่แตกต่างน้อยลง ให้ความสำคัญกับความเห็นของตนมากกว่าผู้อื่นเสมอ
3) หาข้ออ้างให้กับการตัดสินใจลงทุนหรือการพยากรณ์ที่ผิดพลาดมากกว่าหาสาเหตุที่ทำให้เกิด
4) ลงทุนในตราสารที่มีความผันผวนสูงขึ้น และลงทุนเกินตัวมากขึ้น (Leveraged)
5) พอร์ตการลงทุนกระจุกตัว และมีพฤติกรรมการซื้อขายบ่อยครั้ง

แม้ว่าความเชื่อมั่นมากเกินไปเป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนที่มีประสบการณ์ยาวนาน หรือนักลงทุนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นที่มากเกินไปอาจทำลายความสำเร็จ ที่เคยได้รับให้หมดไปได้อย่างรวดเร็ว การตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนพึงกระทำ

งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อ สังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น