วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ทุนนิยมกับโลกาภิวัฒน์
เรื่องนี้คงคล้ายๆ กับระบบทุนนิยม VS ระบบสังคมนิยม สะท้อนให้เห็นความเป็นไปของโลกได้เป็นอย่างดี
"อ. เศรษฐศาสตร์เถียงเรื่องนโยบายของรัฐ (ในที่นี้คือ Democrat)
ไม่มีทางเป็นไปได้ ที่จะทำให้คนทั้งหมดในประเทศเท่ากัน
ไม่มีคนจนและไม่มีคนรวยเลย ทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง
และมันคงจะเป็นดินแดนในฝันแน่ ๆ
อ. บอกว่าไม่มีทาง แต่ถ้าอยากจะลองดูก็ได้นะ
เริ่มจากในห้องนี้ก่อนเป็นอย่างไร เราจะมาทดลองระบบนี้กัน
เกรดทุกคนในห้องนี้จะเป็นค่าเฉลี่ย และทุกคนจะได้เท่ากันหมด
ไม่มีคนตก และไม่มีใครได้สูงกว่าใคร ดีไหม
หลังการสอบครั้งแรก ค่าเฉลี่ยของเกรด คือ B
นักเรียนหลาย ๆ คนในห้องเริ่มพอใจ ส่วนนักเรียนที่เรียนดี
รู้สึกไม่พอใจ เพราะพยายามแทบตายได้แค่ B
ดังนั้นในการสอบครั้งต่อมา คนที่ไม่เรียน ไม่ขยันก็ไม่ตั้งใจเหมือนเดิม
คนที่ขยันบ้างก็ เลิกขยัน หรือขยันน้อยลง เพราะรู้สึกสบาย ๆ ขึ้น
ส่วนพวกขยันมาก ก็แทบจะเลิกขยันไปเลย
ผลการสอบครั้งต่อมา ทั้งห้องได้ D ..... ทุกคนเริ่มไม่พอใจ
ผลการสอบครั้งที่ 3 ทั้งห้องได้ F .... ทุกคนเริ่มโทษกันเอง ...
อ. จึงบอกว่า คุณค่าของความพยายามมันจะมีค่าเมื่อผลที่ได้รับมันคุ้มค่า ใครเล่าจะพยายามเมื่อผลลัพท์มันได้เท่าไม่พยายาม"
ระบบทุนนิยมให้รางวัลกับคนที่มีความพยายามเพื่อผลักดันโลกไปข้างหน้า และลงโทษคนที่ไม่พยายามเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ โลกมันจึงก้าวไปข้างหน้า
ระบบสังคมนิยมไม่ได้ให้อะไรนอกจาก ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ได้ให้รางวัลคนทำดีและไม่ได้ลงโทษคนที่ทำไม่ดี โลกจึงอยู่กับที่รอวันถอยหลัง
กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่าระบบหลังล้มหายตายจาก แม้กระทั่งประเทศที่เป็นผู้ริเริ่มยังต้องละทิ้งมันไปสู่ทุนนิยม
ระบบทุนนิยมเองก็มีจุดอ่อนตรงที่ความแตกต่างกันของชนชั้นนำกับชนชั้นล่างจะ ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจแก้ด้วยการเก็บภาษีคนรวยให้หนัก เพื่อเอามาพัฒนาศักยภาพของชนชั้นล่างเพื่อให้วันหนึ่งพวกเขาสามารถผลักดัน ตัวเองขึ้นมาเป็นชนชั้นนำได้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการให้การศึกษา การพัฒนาอาชีพ การให้โอกาสทำกิน และการจัดหาแหล่งเงินทุนครับ ไม่ใช่สนับสนุนการก่อหนี้เพื่อการบริโภคที่เกินตัว หรือแจกเงินทองให้พวกเขาใช้ไปวันๆ แต่ยังคงสถานะให้เป็นชนชั้นล่างเหมือนเดิม
โลกจึงจะยังเดินอยู่ต่อได้อย่างที่มันเป็นอยู่
ป.ล. ผมว่าตามหลักทุนนิยมทั่วๆไป ไม่เกี่ยวกับการเมืองไทยนะครับ :)
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
บททดสอบแห่งศรัทธา
ตั้งแต่ต้นปีมาตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไม่เยอะนัก แต่ถ้าไปลองดูหุ้นรายตัวปรากฎว่าพุ่งกระฉูด Ceiling มีให้เห็นกันได้ทุกวัน บางตัวก็ Ceiling มันติดๆกันหลายวัน มันคงเป็นเรื่องปกติที่จะทำให้เซียนหุ้นไขว้เขวไปกับแนวทางที่ตนเองยึดมั่น
นักลงทุนที่ประกาศตัวเป็น Value Investor หรือ VI ก็อาจชักจะอยากขายหุ้น Value ของตัวเองที่อืดเหลือเกิน ไปไล่หุ้นที่กำลังแรงมั่ง มองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนๆไล่หุ้นร้อนกันรวยเละเทะ แล้วจะช้าอยู่ไยขายหุ้น VI มันให้หมดเลยดีกว่า แปลงสภาพจาก VI เป็น ไวไว ในบัดดล
ส่วน ขาลุยเล่นตามเทคนิคก็กำลังใจฮึกเหิม เทรดหุ้นกำไรเยอะชักอยากเล่นมาจิ้น เล่นด้วยเงินตัวเองมันรวยช้า อย่ากระนั้นเลยเทรด Futures มันเลยดีกว่าจะได้รวยเร็วๆ โบราณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก
ในตลาด ตะลุมบอนอย่างปัจจุบัน มันเป็นการยากถึงยากมากที่จะรักษาศรัทธาในแนวทางลงทุนของตนเองให้คงมั่นได้ เมื่อตลาดเปลี่ยนตัวเราก็เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นปรัญญา วิธีการลงทุน ความเสี่ยงที่ตนอยากจะเข้ารับ
แต่เชื่อผมเถอะว่านักลงทุนแต่ ละคนมีแนวทางการลงทุนในเหมาะสมกับตัวเองแค่แนวทางเดียวเท่านั้น หากเราเคยประสบความสำเร็จกับแนวทางไหน ก็ควรยึดมั่นกับแนวทางนั้นๆ ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร
ตลาดหุ้นแต่ละช่วงเวลาก็ให้รางวัล กับการลงทุนในแต่ละแนวทางไม่เท่ากัน บางปีหุ้น Value ก็ดีกว่า บางปีหุ้น Growth ก็ดีกว่า บางปีหุ้นปั่นก็ดีกว่า ถ้าเรายึดมั่นในแนวทางที่เราทำได้ดี เราก็จะมีปีที่ดีบ้างแย่บ้าง แต่ในระยะยาวแล้วการทำในสิ่งที่เราถนัดจะให้ผลได้ดีกว่าพยายามตามกระแสฝืนไป ทำสิ่งอยู่นอกขอบเขตความชำนาญของตัวเองอย่างแน่นอน
นักลงทุน ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักเป็นการทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น Warrent Buffet, George Soros, Phillip Fisher, Sir John Templeton หรือ Benjamin Graham ก็เพราะพวกเขายึดมั่นในแนวทางที่ตัวเองถนัด แม้ว่าจะมีปีที่พวกเขาทำได้แย่แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนแนวทางจนกระทั่งกลายเป็น ตำนานกันไปหมด
มีนักลงทุนน้อยคนมากที่จะประสบความสำเร็จจาก การเปลี่ยนแนวทางการลงทุนจากแบบหนึ่งไปสู่อีกแบบหนึ่งได้อย่างถูกต้องเหมาะ เจาะกับตลาดในช่วงนั้นๆได้ตลอดเวลา เพราะลักษณะนิสัยของคนเรามันเปลี่ยนกันยาก ถ้ามีนักลงทุนอย่างที่ว่าอยู่จริงก็คงจะประสบความสำเร็จเหนือไปกว่ารายชื่อ ที่กล่าวมาข้างต้นอีก จากประสบการณ์ของผมมักจะเห็นประเภทว่าเปลี่ยนจากผิดแนวนี้ไปผิดแนวโน้นซะ มากกว่า
ผมย้ำเสมอว่าสิ่งแรกที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มลงทุนคือ ต้องหาตัวเองให้เจอเสียก่อน ลองทบทวนตัวเองดูครับว่าตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไรกันแน่
คุณค่าของเงินล้าน
เมื่อหลายวันก่อน ผมได้ยินคำถามจากนักลงทุนท่ านหนึ่งใน Facebook ว่าตลาดหุ้นขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนได้กำไรแล้วใครขาดทุน มีหลายคนแสดงความเห็นในหลาย แง่มุม บ้างก็ว่าเจ้ามือขาดทุน กองทุนขาดทุน เจ้าของขาดทุน และที่เด็ดสุดๆคือคำตอบที่ว ่าไม่มีใครขาดทุนทุกคนได้กำ ไร ไม่เป็นไรครับเพราะหุ้นมันข ึ้นต่อเนื่องมาสามเดือนติด คิดอย่างไรคงไม่สำคัญนัก
มาวันนี้ตลาดหุ้นตก 17 จุด แบบตั้งตัวไม่ทัน ผมขอตั้งคำถามกลับว่าวันนี้ใครขาดทุน หลายๆคนมองพอร์ตตัวเองแล้วค งจะรู้สึกว่าเรารวยลดลง หรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็ขาดทุ น แต่ไม่เป็นเพราะยังไม่ขายถื อว่ายังไม่ขาดทุน 555+ (ว่าเข้าไปนั้น)
เช่นนั้นแล้วกำไรและขาดทุนแ ท้จริงเป็นเช่นไร?
ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้นคนมีหุ ้นได้กำไร คนไม่มีหุ้นขาดทุนเพราะเสีย โอกาสได้กำไร
ตลาดหุ้นอยุ่ในขาลงคนไม่มีห ุ้นได้กำไรจากโอกาสที่จะซื้ อหุ้นได้ที่ราคาที่ถูกลง ส่วนคนที่ถือหุ้นอยู่ขาดทุน
ในระยะยาวแล้วการไม่ลงทุนเล ยก็เป็นต้นทุนชีวิตเช่นกัน เพราะค่าของเงินมันไม่ได้อย ู่ที่ตัวเลขเงินที่คุณมี แต่มันอยู่ที่ตัวเลขเงินที่ คุณมีเมื่อเทียบกับเงินที่ค นอื่นมีต่างหาก
พ่อผมเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 60 ปีก่อนก๋วยเตี๋ยวชามละไม่ถึ งบาท มีเงิน 10 บาทเที่ยวรอบกรุงเทพได้ ถ้ามีเงินล้านเรียกมหาเศรษฐ ี มีสิบล้านเรียกอภิมหาเศรษฐี
หกสิบปีผ่านไป ผมรู้สึกว่าคนมีเงินล้านมัน ช่างธรรมดาเหลือเกิน มีสิบล้านก็แค่พอมีอันจะกิน เท่านั้น สมัยนี้เศรษฐีเขาเริ่มคุยกั นที่ 100 ล้านบาท
นั่นเพราะว่าระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างก็ทำมาค้าขาย ประกอบกิจการ อาชีพต่างๆ และสะสมเงินของพวกเขาเรื่อย มา ถ้ามหาเศรษฐีที่กลัวความเสี ่ยงในสมัยนั้น เอาเงินไปฝังตุ่ม ก็ต้องบอกว่าพวกเขาจนลงไปมา ก เพราะในสมัยนี้เงินล้านของเ ขาซื้อบ้านอยู่ซักหลังยังแท บไม่ได้
นี่ขนาดเมื่อหกสิบปีก่อนยัง ไม่มีตลาดหุ้นนะครับ เงิน 1 ล้านบาทยังมีค่าลดลงขนาดนั้ น แล้วลองนึกภาพดูว่าปัจจุบัน มีเซียนหุ้นบังเกิดขึ้นมากม าย พวกเขารวยขึ้นพร้อมๆกัน 3-4 เท่าในเวลาแค่ 3-4 ปี ถ้าคุณยังหลีกเลี่ยงการลงทุ น เอาเงินไปฝากธนาคาร เวลาอีก 20-30 ปีข้างหน้า คุณคิดว่าเงิน 1 ล้านบาทของคุณจะมีค่าแค่ไหน กัน (เชียว)
ถ้าคุณไม่เริ่มลงทุนซะที แม้ว่าคุณจะไม่ขาดทุนในรูปต ัวเงิน แต่คุณกำลังขาดทุนในแง่ความ มั่งคั่งในอนาคตของคุณอย่าง แน่นอน ถ้าคุณลงทุนแม้ว่าจะขาดทุนบ ้างในบางปี แต่มันจะทำให้คุณมีโอกาสที่ จะรักษามูลค่าของเงินในกระเ ป๋าของคุณได้บ้าง และความจริงการลงทุนก็ไม่จำ เป็นต้องเล่นหุ้นเท่านั้น คุณจะทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่ห วังว่าจะได้ผลกำไรมากกว่าดอ กเบี้ยแล้วกัน คุณถนัดอะไรก็ทำอย่างนั้นแห ละ
เริ่มเรียนรู้ที่จะลงทุนกัน เถอะครับ
มาวันนี้ตลาดหุ้นตก 17 จุด แบบตั้งตัวไม่ทัน ผมขอตั้งคำถามกลับว่าวันนี้ใครขาดทุน หลายๆคนมองพอร์ตตัวเองแล้วค
เช่นนั้นแล้วกำไรและขาดทุนแ
ตลาดหุ้นอยู่ในขาขึ้นคนมีหุ
ตลาดหุ้นอยุ่ในขาลงคนไม่มีห
ในระยะยาวแล้วการไม่ลงทุนเล
พ่อผมเล่าให้ฟังว่าเมื่อ 60 ปีก่อนก๋วยเตี๋ยวชามละไม่ถึ
หกสิบปีผ่านไป ผมรู้สึกว่าคนมีเงินล้านมัน
นั่นเพราะว่าระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างก็ทำมาค้าขาย ประกอบกิจการ อาชีพต่างๆ และสะสมเงินของพวกเขาเรื่อย
นี่ขนาดเมื่อหกสิบปีก่อนยัง
ถ้าคุณไม่เริ่มลงทุนซะที แม้ว่าคุณจะไม่ขาดทุนในรูปต
เริ่มเรียนรู้ที่จะลงทุนกัน
ฤ สูงสุด จะคืนสู่สามัญ?
วัฎจักรเทคโนโลยีผ่านมาแล้ว
วันนี้ราคาหุ้น Apple ไหลรวดเดียว 10% ลงจากจุดสูงสุด $700 เหลือ $460 ในเวลาแค่ 5 เดือน นักวิเคราะห์ใน Wallstreet มีคำอธิบายมากมายว่าทำไมราค
สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่ครั้ง
สำหรับผมผู้ซึ่งโบราณมาเวลา
หุ้นตามโพยนั้น สำคัญไฉน?
พักหลังผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเป็นข
เมื่อทุกคนฟังแล้วชื้อทันที
ลองหยุดซักนิด ย้อนกลับมาคิดซักหน่อยว่าเร
ถ้ามองโลกในแง่ดี เซียนเขาจิตใจดีปานเทพ วิเคราะห์พื้นฐาน เทคนิค โหราศาสตร์แล้วก็มาบอกนักลง
ถ้ามองแบบกลางๆ เซียนเขามีน้ำใจซื้อแล้วบอก
ถ้ามองโลกในแง่ร้าย เซียนเขาเก็บของครบแล้ว ไล่ราคาแล้ว บอกรายย่อยมาช่วยกันรับเยอะ
แต่ไม่ว่าจะมองโลกในแง่ไหน ผมแน่ใจ 100% ว่าเซียนที่บอกโพยคุณเขาซื้
ผมก็ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นจะเป็
Social Media ในปัจจุบันมันมีหลากหลายและ
"ใครใคร่ค้าม้าค้า ใครใคร่ค้าช้างค้า" ประโยคเด็ดสมัยพ่อขุนรามคำแ
คำแนะนำเป็นของเขา การตัดสินใจและเงินเป็นของท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)