วันที่ 2 พ.ค. 2559 เป็นวันที่โลกฟุตบอลจะต้องจารึก เมื่อสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้แห่งประเทศอังกฤษสามารถสร้างปาฎิหารย์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีคซึ่งเป็นลีคสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษครั้งในประวัติสตร์ 132 ปีของสโมสร สวนทางกับความคาดหมายของกูรูและสำนักพนันต่างๆที่ปรามาสว่าเป็นทีมเต็งที่จะตกชั้น ความสำเร็จนี้คงไม่ได้น่าจดจำอะไรนักถ้าเลสเตอร์เป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ หรือทีมเงินหนาที่ทุ่มเงินซื้อนักฟุตบอลราคาแพง แต่เลสเตอร์เป็นสโมสรเล็กๆที่มีงบประมาณทำทีมเกือบจะต่ำที่สุดในพรีเมียร์ลีค นักฟุตบอล 11 ตัวจริงที่ลงสนามมีค่าตัวรวมกันแค่ 24 ล้านปอนด์ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของค่าตัว 49 ล้านปอนด์ที่สโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้จ่ายให้สโมสรลิเวอร์พูลเพื่อซื้อตัวราฮีม สเตอริ่ง นักเตะดาวรุ่งทีมชาติอังกฤษเพียงคนเดียว อันที่จริงหลายๆคนเป็นส่วนเกินที่สโมสรใหญ่ปล่อยตัวออกมาฟรีๆเสียด้วยซ้ำ
สำหรับผมแล้วความสำเร็จของเลสเตอร์ซิตี้นี้ยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะ
20 นัดติดต่อกันของสโมสรโอ๊คแลนด์ แอตเลติกส์
ในวงการเบสบอลที่ถูกนำมาตีแผ่เป็นหนังสือและภาพยนต์เรื่อง Money Ball: The Art of Winning and an Unfair Game หลายเท่า
ความสำเร็จของเลสเตอร์ถ้าจะบอกว่าได้มาเพราะโชคช่วยคงจะไม่ใช่
เพราะกีฬาที่ต้องทำผลงานแข่งกัน 38 นัดตลอด 10 เดือน เล่นทั้งเหย้าและเยือน เพียงอย่างเดียวโชคคงไม่สามารถผลักดันให้ทีมเล็กๆเป็นแชมป์รายการแสนทรหดนี้ได้
ความสำเร็จของเลสเตอร์ซิตี้ในฤดูกาล 2015/2015 จึงคู่ควรจะนำมาศึกษาเพื่อเป็นประโยชน์ต่อแนวคิดการลงทุนและการบริหารธุรกิจ
ผมจึงขอเผยแพร่ตอนต่อของ Money Ball หลังจากที่ได้นำเสนอบทความเรื่อง
Money ball: บทเรียนการลงทุนผ่านสนามเบสบอล (http://indyinvestorforum.blogspot.com/2012/05/moneyball-1.html) ไปแล้วเมื่อปี 2555
นอกจากเรื่องเวทมนตร์
ไสยศาสตร์ ผ้ายันต์ หรือเรื่องบุญกรรม ที่ผมจะไม่ขอพูดถึงเนื่องจากพิสูจน์ไม่ได้แล้วนั้น
สโมสรเลสเตอร์มีปัจจัยแห่งความสำเร็จหลายอย่างที่สโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด แมนเชสเตอร์ซิตี้ อาร์เซน่อล เชลซี
และลิเวอร์พูลมองข้ามไปและก็เป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาล้มเหลวในการไล่ล่าแชมป์พรีเมียร์ลีคในฤดูกาลนี้
Valuation
ด้วยความที่เลสเตอร์เป็นสโมสรขนาดเล็กที่มีงบประมาณทำทีมไม่มากนัก
ทำให้พวกเขาต้องแสวงของดีราคาถูก เลสเตอร์จึงเลือกซื้อแต่นักเตะที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง
แต่มีทักษะที่สอดคล้องกับแผนการเล่นของตนเอง ประเภทมาจากดิวิชั่น 3 ของลีคฝรั่งเศส (ริยาร์ด มาเรซ) หรือนักเตะปล่อยตัวฟรี (คริสเตียน ฟุชส์ และมาร์ค ออลไบรตั้น)
แต่มีความสามารถที่โค้ชต้องการคือ เร็ว คล่อง ทำประตูเฉียบคม หรือวางบอลแม่น
แล้วจับเอาความสามารถเฉพาะด้านของนักเตะเหล่านี้มาผสานกันเป็นทีม
พวกเขาเข้าใจดีกว่ากุญแจสำคัญของชัยชนะในกีฬาฟุตบอลอยู่ที่การเล่นเป็นทีม
นักฟุตบอลเก่งๆ ถ้าเล่นร่วมกันไม่ได้ก็ไม่สามารถผลักดันให้ทีมชนะ ผลลัพธ์ก็คืองบประมาณทำทีมเพียง
48.2 ล้านปอนด์ก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้
(เชลซีใช้งบประมาณทำทีมฤดูกาล 2015/2016 ไป 215.6 ล้านปอนด์ แต่จนถึงวันที่เลสเตอร์เป็นแชมป์
พวกเขาอยู่อันดับ 9 ตามหลังเลสเตอร์ 29 คะแนน)
Know yourself การที่เลสเตอร์เป็นทีมเล็กๆนักเตะทักษะสู้ทีมใหญ่ๆไม่ได้ จะให้ไปเล่นฟุตบอลสวยงามทำเกมรุกถล่มประตูคู่แข่งก็คงจะไม่ได้
พวกเขาจึงต้องเลือกแนวทางการเล่นที่ไม่ต้องอาศัยนักเตะพรสวรรค์สูง นั่นคือ เน้นเกมรับเหนียวแน่นแล้วเล่นเกมสวนกลับเร็ว
เน้นวางบอลยาวให้แนวรุกที่มีความเร็ว (มาเรซ) และความเฉียบคม (วาร์ดี้) อาศัยจังหวะที่แนวรับคู่แข่งกำลังเติมเกมรุกกลับไปตั้งรับไม่ทัน
สร้างสถานการณ์แบบ 2:2 หรือ 2:3 เข้าทำประตูด้วยความเฉียบคม ฟุตบอลแบบนี้ไม่สวยงามเท่าไร แต่ทรงประสิทธิภาพมาก
จนถึงวันที่พวกเขาเป็นแชมป์ เลสเตอร์เสียประตูเพียง 34 ลูกน้อยที่สุดเป็นอันดับสองของพรีเมียร์ลีครองจากสเปอร์ที่เสียไป
28 ประตู
Low profile การที่บ่อนการพนันยกให้พวกเข้าเป็นเต็งทีจะตกชั้นช่วยพวกเขาได้มาก
เนื่องจากช่วงต้นจนถึงกลางฤดูกาล ทีมคู่แข่งที่พบกับเลสเตอร์มักเล่นด้วยความประมาท
ย่ามใจ พวกเขามักเปิดเกมรุกเข้าหมายจะเอาชนะ และเปิดพื้นที่ว่างในแดนหลัง จึงเปิดโอกาสให้เลสเตอร์ได้ใช้จุดเด่นในเกมรับ
และเกมโต้กลับเร็วเข้าโจมตีเมื่อตัดเกมจากคู่แข่งได้ กว่าที่ทีมยักษ์ใหญ่จะรู้ตัวว่าเลสเตอร์ยอดเยี่ยมเพียงใด
พวกเขาก็นำโด่งจนไล่ไม่ทันไปซะแล้ว ถ้าสมมุติให้ยกนักเตะทีมเลสเตอร์
และโค้ชย้ายไปสวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมนเชลเตอร์ ซิตี้ อาร์เซนอล หรือเชลซี
พวกเขาก็อาจจะไม่ได้แชมป์ เพราะทีมคู่แข่งจะมาเล่นด้วยความระมัดระวัง
ไม่เปิดพื้นที่ว่างให้นักเตะเลสเตอร์ได้ใช้เกมโต้กลับหรือความเร็วเข้าโจมตีได้ง่ายๆ
Team Spirit ในบรรดา 20 สโมสรของพรีเมียร์ลีค เลสเตอร์เป็นทีมที่มีทีมสปิริตสูงที่สุด
พวกเขาเล่นฟุตบอลแบบไม่เห็นแก่ตัว ทุกคนทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของทีม
ถ้ามีเพื่อนมีโอกาสทำประตูดีกว่า พวกเขาก็จะจ่ายบอลให้เพื่อนแบบไม่อิดออด ฟุตบอลของเลสเตอร์จึงไหลลื่นเป็นธรรมชาติ แตกต่างๆที่นักเตะดังของทีมใหญ่ๆ ที่อีโก้สูง มุ่งแต่จะยิงประตูเองเพิ่มค่าตัว
บางครั้งถึงขนาดแย่งกันยิงจุดโทษ หรือเล่นลูกตั้งเตะกันก็มี หรือถ้าใครคิดว่าความสามารถเฉพาะตัวสำคัญกว่าทีมเวิร์คลองไปดูผลงานของเชลซีในฤดูกาลนี้ก็ได้
Consistency เลสเตอร์เป็นทีมที่เปลี่ยนนักฟุตบอลหรือแผนการเล่นในแต่ละเกมน้อยมาก
พวกเขาเน้นการเล่นแบบ 4-4-2 ด้วยนักเตะชุดเดิมๆ และแท๊คติกเดิมๆ ตลอด 35 นัดที่ทำให้พวกเข้าได้แชมป์ นักเตะจึงเข้าใจแผนการเล่น
และระบบทีมเป็นอย่างดี แตกต่างกับทีมใหญ่ที่มีนักเตะดังๆเยอะ
ต้องเปลี่ยนทีมแบ่งกันลงสนาม
หรือบางครั้งโค้ชก็อินดี้จัดนักเตะดังๆไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดซะงั้น ทำให้นักเตะขาดความเข้าใจในรูปเกม
และเกิดความสับสนในแท็คติกในแต่ละนัด
Concentration เลสเตอร์ตกรอบฟุตบอลรายการอื่นๆเร็วมาก รวมถึงไม่ได้ไปเตะฟุตบอลยุโรป
ทำให้นักเตะของเลสเตอร์มีสมาธิกับพรีเมียร์ลีคได้เต็มที่
พวกเขาไม่ต้องอ่อนล้ากับการเล่นฟุตบอลรายการอื่นๆ
ทำให้ในช่วงที่มีฟุตบอลยุโรปซึ่งทีมใหญ่ๆต้องไปเตะติดกันหลายๆนัด
เลสเตอร์ได้เปรียบเรื่องความฟิตของนักเตะเป็นอย่างมาก
Luck ปฏิเสธไม่ได้ว่าโชคย่อมเป็นส่วนหนึ่งของทุกความสำเร็จ
เลสเตอร์โชคดีมากที่นักเตะของพวกเขาแทบจะไม่พบอาการบาดเจ็บระยะยาวมารบกวนเลย
และที่โชคดีกว่านั้นก็คือฤดูกาล 2015/2016 เป็นปีที่ทีมใหญ่มีปัญหาของตัวเองทุกทีม บางทีมนักเตะไม่ชอบหน้าโค้ชก็เตะกันไปเรื่อยเปื่อย
บางทีมก็เผชิญปัญหานักเตะเปลี่ยนหน้ากับบาดเจ็บไปตลอดฤดูกาล บางทีมประสบปัญหาโค้ชอินดี้ชอบเล่นแท๊คติกแปลกๆซึ่งลูกทีมไม่ค่อยเข้าใจ
บางทีมก็เพิ่งเปลี่ยนโค้ชอะไรๆก็ยังไม่ค่อยลงตัว บางทีมนักเตะอิ่มตัวกับความสำเร็จเล่นรอวันย้ายทีม
จึงเปิดโอกาสให้เลสเตอร์และสเปอร์ทีมที่ไม่มีปัญหาภายในได้มีโอกาสมาแย่งแชมป์กันให้เป็นเกียรติประวัติ
ผมคิดว่าเลสเตอร์ซิตี้ยากที่จะป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีคได้ในฤดูกาลหน้า
เพราะปัจจัยแห่งความสำเร็จหลายปัจจัยจะกำลังเปลี่ยนไป อาทิเช่น
เลสเตอร์จะกลายเป็นแชมป์เก่าที่จะอย่างไรเสียทีมคู่แข่งก็ต้องเกรงใจ
การเล่นกับเลสเตอร์ก็จะเพิ่มความระมัดระวังขึ้น
แท๊คติกแบบเล่นเหนียวแน่นแล้วสวนกลับเร็วซึ่งเป็นทีเด็ดอาจมีประสิทธิภาพลดลง
พวกต้องไปเล่นในรายการยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีค
ทำให้พวกเขาไม่สามารถโฟกัสกับการป้องกันแชมป์เพียงอย่างเดียวได้
พวกเขาจำเป็นต้องหมุนเวียนนักเตะเพื่อลดการอ่อนล้าและอาการบาดเจ็บ
ซึ่งจะทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้ทีมชุดเดียวกันเล่นไปตลอดฤดูกาลเหมือนปีนี้ได้
ทีมสปิริตพวกเขาก็อาจลดลงเนื่องจากนักเตะแกนหลักอาจถูกยั่วยวนด้วยข้อเสนอให้ย้ายทีมไปเล่นกับทีมยักษ์ใหญ่
นักเตะก็อาจจะเริ่มงอแงขอขึ้นค่าจ้างหลังจากเป็นแชมป์
การซื้อนักเตะของเลสเตอร์ก็จะยากขึ้นและแพงขึ้นเพราะทุกสโมสรรู้ว่าพวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นจากการไปเล่นฟุตบอลยุโรปคงจะไม่ยอมขายให้แบบถูกๆ
ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งท้าเคลาดิโอ รานิเอรี่ และลูกทีมในฤดูกาลหน้า
ว่าพวกเขาจะสามารถก้าวข้ามคำว่า “สโมสรม้ามืด” ที่มาเดี๋ยวก็ไปให้พัฒนาไปเป็น “สโมสรชั้นนำ”
ที่รักษาความสำเร็จต่อเนื่องยาวนานเป็นทศวรรตอย่างที่แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ต ลิเวอร์พูล อาร์เซน่อลเคยเป็นได้หรือไม่ แต่ ณ
จุดนี้ก็ต้องบอกว่าเลสเตอร์ ซิตี้ได้เขียนเทพนิยายที่สมบูรณ์แบบของวงการฟุตบอลไปเรียบร้อยแล้ว
ว่ามาตั้งนานแล้วความสำเร็จของเลสเตอร์มันมาเกี่ยวอะไรกับการลงทุนล่ะ ผมลงทุนร่ายยาวมาก็เพื่อจะบอกว่าปัจจัยความสำเร็จของเลสเตอร์ก็สามารถนำประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้เช่นกัน
Valuation การลงทุนที่ดีอาจไม่ใช้การลงทุนที่ทุกคนคิดว่าดี
บริษัทที่ทุกคนรู้ว่าดีก็จะซื้อขายกันด้วยราคาทีสูงมากเกินกว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้นักลงทุนได้
เช่นเดียวกับบรรดานักฟุตบอลชื่อดังค่าตัวแพงต่างๆที่มักจะทำให้สโมสรขาดทุนอยู่เนืองๆ
ในขณะมุ่งเน้นแต่ลงทุนในบริษัทที่ราคาอยู่ในระดับต่ำหรือราคาหุ้นตกลงมาแล้วเยอะๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้เช่นกัน
เพราะนักลงทุนคนอื่นๆก็ไม่ถึงกับไร้เหตุผลซะทีเดียว
บริษัทประเภทนี้หลายๆบริษัทก็ล้มหายตายจากไปแบบไม่กลับมาได้อีก การวิเคราะห์มูลค่าของกิจการจึงมีความจำเป็นมาก
เราอาจเข้าใจว่าการลงทุนมันก็ไม่ยาก แค่ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและขายเมื่อราคาหุ้นขึ้นสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน
แต่ความจริงแล้วการประเมินปัจจัยพื้นฐานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ราคาหุ้นแต่ละตัวก็จะซื้อขายกันตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คิดว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน
ณ ขณะนั้นเกือบตลอดเวลานั่นแหละ การจะหาหุ้นที่ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานในแต่ละช่วงเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายแค่อ่านบทวิเคราะห์แล้วซื้อหุ้นตาม
สิ่งที่เราควรทำก็การวิเคราะห์ว่าปัจจัยพื้นฐาน “ในอนาคต” จะเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างไร
เราจำเป็นต้องคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ และต้องถูกต้องแล้วหาไม่แล้วเราก็จะแห่ซื้อขายตามคนส่วนใหญ่
และผลตอบแทนของการลงทุนของเราก็จะเป็นไปตามนักวิเคราะห์ นักลงทุนส่วนใหญ่
หรืออีกนัยหนึ่งก็ผลตอบแทนตามตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยนั่นแหละ
Know Yourself คนเราเกิดมามีความแตกต่างกัน ลักษณะนิสัย พื้นเพ ความถนัด
ความชอบส่วนตัว เราจึงควรลงทุนอย่างที่เป็นตัวของตัวเอง
เรียนรู้ตัวเองว่าอะไรเป็นจุดแข็งอะไรเป็นจุดอ่อน
แล้วเลือกวิธีการลงทุนที่สอดคล้องกับจุดแข็งของตัวเอง
เช่นเดียวกับเลสเตอร์ที่เลือกเล่นฟุตบอลในสไตล์ที่ตัวเองถนัด ไม่สวยงาม
ไม่ตื่นเต้นเร้าใจก็ไม่เป็นไร ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเดี๋ยวก็ตื่นเต้นกันเองในที่สุด
บางคนเป็นคนตัดสินใจช้า คิดละเอียด แต่เลือกจะเล่นหุ้นแนวเทคนิคหรือเล่นตราสารอนุพันธ์ที่มีความผันผวนสูง
ถึงเวลาจะต้องขายตัดขาดทุนก็ลังเลคิดเยอะ อย่างนี้ก็อาจไม่เหมาะ บางคนเป็นคนใจร้อน
คิดเร็ว แต่เลือกเล่นหุ้นนอกกระแสที่ต้องรอเวลาเห็นผลยาวนาน
พอเห็นหุ้นซิ่งตัวอื่นวิ่งขึ้นพรวดๆก็ทำใจไม่ได้
สุดท้ายก็ขายหุ้นที่ถือแล้วไปเล่นหุ้นร้อนจนติดดอยนั่นแหละ
Consistency & Concentration เมื่อเราค้นพบแนวทางการลงทุนที่เหมาะกับตัวเองแล้ว
เราจำเป็นต้องมั่นคงกับมัน ตลอดชีวิตของนักลงทุนจะต้องพบบททดสอบแห่งศรัทธาหลายครั้ง
บางครั้งตลาดอาจไม่เป็นใจกับแนวทางการลงทุนของเรา
เราก็จำเป็นต้องยอมรับและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความผิดหวัง ไม่ท้อแท้อะไรง่ายๆ บางครั้งปัญหาที่เราเจออาจถึกับทำให้เราท้อแท้หรืออยากเปลี่ยนสไตล์การลงทุนไปเลยก็มี
แต่เชื่อผมเถอะมีนักลงทุนจำนวนน้อยมากที่ประสบความสำเร็จจากการเปลี่ยนสไตล์การลงทุนไปมา
เซียนหุ้นที่ผมรู้จักก็มักจะค้นพบตัวเองจนพบแล้วก็อยู่กับมันไปจนประสบความสำเร็จ
Low Profile นักลงทุนที่ดีไม่ควรโอ้อวดความสำเร็จของตน เที่ยว Capture หน้าจอหุ้นที่ตัวเองกำไรไปโพสต์อวดความเก่งแข่งกันใน
Social
Network ว่ากำไรเท่านั้นเท่านี้ และธรรมดาคงไม่มีใครเอาผลขาดทุนไปอวดชาวบ้าน ยิ่งเราโอ้อวดมากเท่าไร
เรายิ่งหลงตัวเอง หลงลืมความผิดพลาดของตัวเรา และทำให้เราขาดการพัฒนา หากเราไม่เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตแล้วเราก็จะมีแนวโน้มจะผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก
นักลงทุนที่ดีจึงควรทำ Trading Journal เพื่อทบทวนการลงทุนของตัวเองไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน
ถ้าได้กำไรต้องดูว่าเกิดจากอะไรจะได้เอาไปทำซ้ำได้ วิเคราะห์ถูก ตัดสินใจเหมาะกับเวลาหรือแค่โชคช่วย
ถ้าขาดทุนต้องดูกว่าเกิดจากอะไรจะทำหลีกเลี่ยงความผิดพลาดซ้ำรอยเดิม การโอ้อวดความสำเร็จของตนไม่ได้ทำให้ดูดีในสายตาคนอื่นเท่าไรหรอกรังแต่จะทำให้คนรอบข้างรำคาญซะมากกว่า
เซียนหุ้นที่ผมรู้จักล้วนแล้วแต่ถ่อมตน เอาจริงๆคนทั่วๆไปอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นเซียนหุ้นพอร์ตร้อยล้านพันล้าน
Team Spirit ในที่นี้หมายถึงการรับฟังความเห็นของคนรอบข้าง บางคนได้กำไรมากๆอย่างต่อเนื่องเราก็อาจเข้าใจไปเองว่าเราบรรลุอรหันต์ผลแห่งการลงทุนแล้ว
ทั้งๆที่บางคนเพิ่งเข้าตลาดหุ้นมาได้สองสามปีเอง
ยังไม่เคยเผชิญความโหดร้ายของตลาดหมี แต่ถ้าจะให้เจอพญาหมีด้วยตัวเองก็อาจจะไม่รอดในครั้งแรก
นักลงทุนจึงควรศึกษาหาความรู้ รับความเห็นที่แตกต่าง เรียนรู้จากผู้ประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาว
เพื่อที่จะรู้ว่าสิ่งที่ใดที่เรายังไม่รู้
ไว้เป็นแนวทางในการเอาตัวรอดในกรณีที่เราต้องเผชิญกับสภาวะตลาดที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
เช่น วิกฤติเศรษฐกิจ เป็นต้น
Luck แน่นอนว่าโชคย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
แต่การลงทุนที่พึ่งแต่โชคจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในระยะยาว เราจำเป็นต้องจำแนกให้ได้ว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นส่วนใดมาจากโชค
ส่วนใดมาจากฝีมือที่สามารถนำไปทำซ้ำได้
ชีวิตของคนเราทุกคนมันก็มักจะเจอโชคดีกับโชคร้ายพอๆกันทุกคนนั่นแหละ
การเอาแต่พึ่งดวงหรือโทษดวง ไม่ได้ทำให้ชีวิตนักลงทุนดีขึ้น แทนที่จะเอาเวลาไปตระเวนบนบานศาลกล่าว
หรือกล่าวโทษดินฟ้าเวลาขาดทุน ผมว่าเอาเวลามาศึกษาหาความรู้
ทบทวนการลงทุนของตัวเองจะดีกว่า
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนที่ผมได้รับจากการติดตามผลงานของเลสเตอร์ซิตี้ทั้ง
35 นัด ผมไม่ได้อ้างอิงจากบทความหรือตำราเล่มใด
ไม่ได้พยายามทำตัวเป็นเซียนหุ้นเก่งกาจเหนือใคร และไม่ได้มีเจตนาจะสั่งสอนใดๆ แค่บังเอิญได้เห็นเลสเตอร์สร้างปฏิหารย์คว้าแชมป์ลีคประวัติศาสตร์ได้เลยครึ้มอกครึ้มใจมาวิเคราะห์ความสำเร็จของเลสเตอร์ตามประสาคนขึ้สงสัยแค่นั้นเอง
หวังว่าข้อสังเกตของผมจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อย และถ้าจะมีเหตุปฎิหารย์แนวนี้เกิดขึ้นอีกผมก็ขอสงวนสิทธิ์ที่จะเขียน
Money ball ตอนสาม สี่ หรือห้าในอนาคต
Indy
Investor Forum
4 พ.ค. 2559
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น