วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558
Anti-Corruption
สืบเนื่องจากรัฐบาลจะบรรจุพ.ร.บ.ลงทุนมูลค่า 2 ล้านล้านบาท เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ดูเหมือนหลายคนจะมีความกังวลเรื่องการคอร์รัปชั่นอยู่พอสมควรทำให้เกิดกระแส การต่อต้านพ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งก็ควรกังวลอยู่เพราะปัจจุบันการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นของข้าราชการและ นักการเมืองถูกจำกัดและผูกขาดอยู่แค่หน่วยงานตรวจสอบ องค์กรอิสระ และระบบรัฐสภาเท่านั้น ซึ่งหน่วยงานตรวจสอบของรัฐก็มักขาดแรงจูงใจให้จับทุจริต องค์กรอิสระก็มักจะถูกตั้งข้อสงสัยว่าโดนแทรกแซง การตรวจสอบตามระบบรัฐสภาก็ไร้น้ำยา เพราะถึงจะจับทุจริตได้ พอโหวตในสภารัฐบาล (ไม่ว่าพรรคไหนก็ตามที่เป็น) ก็สามารถใช้เสียงข้างมากโหวตจากผิดให้กลายเป็นถูกได้เสียอีก ภาคประชาชนมีส่วนร่วมกับการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นน้อยมากถึงแทบจะไม่มีเลย
ด้วย ความที่ผมเป็นคนที่ชอบทุนนิยมแบบสุดขั้วจะลองหลักทุนนิยมเสรีแบบง่ายๆ มาประยุกต์เพื่อจะช่วยลดการคอร์รัปชั่นลงได้อย่างมีนัยสำคัญดู วิธีก็ไม่ยากแค่แก้กฎหมายเรื่องเดียวเท่านั้น คือ….
เปิด โอกาสให้ประชาชนทั่วไป หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยสามารถมาฟ้องร้องข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือนักการเมืองในข้อหาคอร์รัปชั่นได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านองค์กรอิสระ หรืออัยการ ทั้งนี้ให้ถือว่าประชาชนทุกคน และนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นผู้เสียหายจากการคอร์รัปชั่นเนื่อง จากเป็นผู้เสียภาษีให้รัฐ โดยหากคดีฟ้องร้องถึงที่สุดแล้วมีความผิดจริงตามคำฟ้องให้จ่ายส่วนแบ่ง 30% ของทรัพย์สินที่อายัดได้จากผู้กระทำผิดให้กับผู้ที่ฟ้องร้องเอาผิด และให้ส่วนแบ่งที่ได้รับนี้ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวนเพราะถือว่าไปตาม เอาเงินที่โดนโกงไปกลับมาให้รัฐได้ วิธีนี้จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นมากขึ้น เพราะมันคุ้มที่จะทำ
ลองนึกดูเล่นๆว่า ถ้ามีกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองซัก 10-20 คน ร่วมกันคอร์รัปชั่นโครงการมูลค่า 100,000 ล้านบาท โดยยักยอกไปได้ 30% ของมูลค่าโครงการก็ 30,000 ล้านบาท พอถูกฟ้องร้องไหวตัวทันยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไปได้เหลือตามอายัดได้จริง ซัก 20% ของทรัพย์สินที่โกงมาก็ยังตก 6,000 ล้านบาท รัฐแบ่งกับผู้ฟ้องร้องในสัดส่วน 70:30 แปลว่ารัฐได้ไป 4,200 ล้านบาท ผู้ฟ้องร้องได้ไป 1,800 ล้านบาท โอ้แม่เจ้า!!! 1,800 ล้านบาทเชียวนะ เอาไปเที่ยวรอบโลกจนเหนื่อยตายยังเหลือเป็นมรดกให้ลูกหลานได้เลย
ผม เชื่อว่าหากมีกฎหมายข้อนี้เกิดขึ้นจริง จะมีสำนักงานกฎหมายเอกชนนับร้อยนับพันจัดตั้งขึ้นมาเพื่อตามจับโกงข้าราชการ และนักการเมืองกันทั้งวันทั้งคืนแบบไม่ต้องไปทำคดีอื่น เพราะถ้าเกิดฟลุ๊คจับเมกะโกงได้ครั้งเดียวก็เตรียมติดอันดับมหาเศรษฐีหน้า ใหม่ได้เลย นักการเมืองก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนโกงการเลือกตั้งเข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อเข้า ไปโกงกินให้เสี่ยงติดคุก อยู่เป็นฝ่ายค้านไล่จับโกงก็รวยได้เหมือนกัน ประสิทธิภาพการตรวจสอบก็จะสูงขึ้นแบบพุ่งกระฉูด เพราะจริงๆแล้วหลักฐานการโกงมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ เพียงแต่มันไม่มีแรงจูงใจมากพอให้ผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียลุกขึ้นมาแฉเท่า นั้น ถ้ามีส่วนแบ่ง 30% มาจูงใจ บางที่ข้าราชการน้ำดีที่ปัจจุบันต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการโกงหรือถูก บังคับให้กินตามน้ำก็อาจลุกขึ้นมาแฉเจ้านายก็ได้เพราะมันคุ้มที่จะแฉ ผู้รับเหมาก็ไม่จำเป็นต้องไปจ่ายใต้โต๊ะให้ข้าราชการและนักการเมือง เพราะแค่เอาเบาะแสการทุจริตการประมูลของคู่แข่งไปยื่นฟ้องก็อาจได้ส่วนแบ่ง 30% แบบไม่ต้องลงทุน พนักงานของบริษัทรับเหมาที่รู้เบาะแสการทุจริตก็อาจแอบเอาหลักฐานไปให้ทนาย ฟ้องร้องบริษัทนายจ้างได้เหมือนกัน ถึงจะโดนไล่ออกก็คุ้มเพราะถ้าชนะขึ้นมาก็อาจมีทุนก้อนใหญ่ไปตั้งบริษัทของ ตัวเอง การทุจริตก็จะทำยากขึ้นจากปัจจุบันที่ล๊อบบี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง องค์กรอิสระ หรือฝ่ายตรวจสอบแค่ไม่กี่คนก็ทำสำเร็จและเอาตัวรอดได้ กลายเป็นต้องไปล๊อบบี้ใครบ้างก็ไม่รู้ที่จ้องจะฟ้องเอาส่วนแบ่ง และถึงรู้ก็ล๊อบบี้ได้ไม่หมด เพราะมันมีอยู่เยอะแยะเกลื่อนกลาด
และ เพื่อเพิ่มความมันส์ในเกมส์จับผิดนี้ ก็ควรเพิ่มโทษสำหรับการคอร์รัปชั่นนอกจากแค่อายัดทรัพย์สินที่โกงมาได้ และติดคุกตามคดีอาญา การติดคุกมันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์กับใครอยู่แล้ว เพราะต่อให้ข้าราชการหรือนักการเมืองจะติดคุกซักกี่ปีก็ไม่ได้ช่วยให้รัฐ หรือประชาชนได้อะไร ไม่สู้เพิ่มโทษอายัดทรัพย์เป็นสองเท่าของทรัพย์สินที่ทุจริตมาได้ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งให้รัฐ และเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้จับผิดมากขึ้น คนที่จะทุจริตก็ต้องคิดให้ดีๆ เพราะนอกจากจะมีคนจ้องจับผิดมากขึ้นแล้ว ถ้าเกิดซวยโดนจับได้ขึ้นมาโดนยึดทรัพย์เป็นสองเท่า มรดกเก่าที่หามาได้โดยสุจริตก็จะพลอยหายไปด้วย
เมื่อการโกง มันยากขึ้น ต้นทุนการโกงสูงขึ้น ความเสี่ยงจากการโกงสูงขึ้น คนจับโกงมีจำนวนมากขึ้นโดยสมัครใจ และตั้งหน้าตั้งตาจับโกงกันเป็นอาชีพ คนคิดจะโกงก็จะเริ่มลังเล การคอร์รัปชั่นมันก็จะลดลงไปโดยปริยาย
แต่ ก็น่าเสียดาย (อีกเช่นเคย) ที่ผมไม่คิดว่าชาตินี้นักการเมืองไทยจะโหวตให้กฎหมายข้อนี้ผ่านรัฐสภาออกมา ได้ เพราะคงไม่มีใครอยากออกร่างกฎหมายที่เอื้อให้มีคนมาจับโกงตัวเองมากขึ้น ทุจริตยากขึ้น เสียทรัพย์มากขึ้น แนวคิดนี้ก็คงเป็นได้แค่เอามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันขำๆตาม Social Network ตลอดไปนั่นแหละ ....เฮ้อ...
งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อ สังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น
Written by
Indy Investor Forum
10 ตุลาคม 2556
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น