ว่าด้วยเรื่องของภาษีคนโสด
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา New feed
ของผมเต็มไปด้วยความเห็นเกี่ยวกับการเก็บภาษีคนโสด
ที่มีนักวิชาการท่านหนึ่งนำเสนอขึ้นมาเพื่อปรับโครงสร้างของประชากร
ในฐานะที่ผมเป็นนักลงทุนที่ไม่ค่อยเป็นวิชาการนัก
ขอยืมความเห็นของแฟนเพจท่านหนึ่งที่วิจารณ์ใน New feed ของผมแบบแรงๆเลยว่า
"ไร้สาระ" แนะนำให้ไปหาช่องทางการปรับโครงสร้างประชากรด้วยวิธีอื่นจะดีกว่า
เช่น การขยายอายุเกษียณจากเดิมอายุ 60 เป็น 65
แต่เปิดช่องให้สามารถสมัครใจเกษียณ (Early retire) ได้ที่อายุ 60 เป็นต้น
เด็กรุ่นใหม่ไม่ชอบเป็นลูกจ้างอยากเป็นกันแต่เถ้าแก่
เกิดมาเยอะๆอาจจะกลายเป็นยิ่งขาดแคลนแรงงานหนักเข้าไปอีกก็ได้
สุดท้ายก็ต้องจ้างแรงงานต่างชาติอยู่ดี
การใช้ภาษีมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายควรเป็นไปในลักษณะการให้ "คุณ"
เพื่อจูงใจให้คนทำ ไม่ใช่ให้ "โทษ" กับคนที่ไม่อยากทำ
ทุกวันนี้คนโสดก็เสียภาษีเต็มแบบไม่ได้ลดหย่อนอยู่แล้ว
และคนโสดหลายๆคนทำงานจนดึกดื่นเพราะไม่มีภาระครอบครัว
ซึ่งนับเป็นประโยชน์กับประเภทชาติมากกว่าคนมีครอบครัวแล้วบางคนแต่ง
หน้า+เก็บของตั้งแต่ 4 โมง
พอสี่โมงครึ่งยืนรอรูดบัตรหน้าประตูเพื่อกลับไปหาครอบครัว
การใช้ภาษีเพื่อให้ "โทษ" ควรใช้กับสิ่งที่ไม่สนับสนุนให้ทำเท่านั้น
ถ้าหากรัฐบาลมีรายได้จากภาษีไม่มีเพียงพอจะเอาใช้นโยบายลดแหลก แจก แถม
ผมแนะนำให้เก็บภาษีในรายการดังต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติมากกว่า
ภาษีคนโสดหลายเท่า
1. ภาษีมรดก เป็นภาษีที่ผมว่าน่าเก็บมากที่สุด
เพราะมรดกเป็นสิ่งที่ผู้รับได้มาแบบไม่ต้องใช้ความสามารถ
หรือทำประโยชน์อะไรให้แก่สังคม
แค่บังเอิญได้เกิดมาเป็นลูกหลานเศรษฐีแค่นั้น
และอันที่จริงทายาทเศรษฐีบางคนก็เอามรดกเหล่านี้มากดขี่ข่มเหงคนหาเช้ากิน
ค่ำเสียอีก ส่วนผู้ให้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติเหล่านี้อีกแล้ว
เพราะตายไปแล้วเอาอะไรไปด้วยไม่ได้
การเก็บภาษีมรดกนี้ควรเก็บเป็นลักษณะขั้นบันได เช่น มรดกส่วนที่ต่ำกว่า 1
ล้านบาทไม่คิดภาษี มรดกส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาทคิดภาษี 10%
มรดกส่วนที่ไม่เกิน 100 ล้านบาทคิดภาษี 30% มรดกส่วนที่ไม่เกิน 1000
ล้านบาทคิดภาษี 50% มรดกส่วนที่เกินกว่า 1000 ล้านบาทจัดไปเลย 75%
เพราะเกินกว่านี้เรียกว่าเหลือกินเหลือใช้แล้ว
และควรให้มีการตรวจสอบการโอนทรัพย์สินก่อนเสียชีวิตด้วยเผื่อเศรษฐีหัวหมอ
โอนทรัพย์ให้ลูกหลานก่อนตายเพื่อเลี่ยงภาษี
การเก็บภาษีมรดกจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคมได้
เพราะไม่ว่ารุ่นพ่อจะสร้างสะสมทรัพย์สมบัติ (หรือโกงเขามา) มากมายซักเท่าไร
พอจะส่งต่อไปถึงรุ่นลูกจะต้องแบ่งส่วนหนึ่งคืนแก่สังคมทำให้คนรุ่นทายาท
เศรษฐีไม่ได้เปรียบคนทั่วๆไปมากจนเกินไปทำให้เกิดการผูกขาดระบบเศรษฐกิจให้
อยู่ในวงจำกัดของคนไม่กี่ตระกูล
และลดแรงจูงใจในการคอร์รับชั่นด้วยเพราะโกงไปมากแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องเอามา
คืนประเทศ ยิ่งโกงมากก็ยิ่งคืนมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่คุ้มเสี่ยงที่จะโดนจับโกงได้ จะได้โกงกันแบบพอเพียง
ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศก็มีการเก็บภาษีมรดกกันอย่างกว้างขวาง
มีแต่ประเทศกำลังพัฒนานี่แหละที่ไม่ยอมเก็บเพราะกลัววงศ์ตระกูลจะรวยกันไม่
พอ
2. ภาษีที่ดิน มหาเศรษฐีบางคนรวยแล้วไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร
ก็เอาเงินไปสะสมที่ดินตามหัวเมืองต่างๆ เก็บไว้เก็งกำไร
บางทีก็เก็บไว้อย่างนั้นแหละไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
แทนที่ที่ดินเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นที่ดินทำกิน
หรือสร้างประโยชน์แก่สาธารณชน
รัฐควรเก็บภาษีที่ดินที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์
โดยเก็บในอัตราก้าวหน้าเช่นกัน เช่น ที่ดินไม่ใช้ประโยชน์เกิน 10 ไร่
คิดอัตราหนึ่ง ที่ดินไม่ใช้ประโยชน์เกิน 100 ไร่ คิดอัตราสองเท่า
ที่ดินไม่ใช้ประโยชน์เกิน 1000 ไร่คิดอัตราสามเท่า เพิ่มไปเรื่อยๆ
ถ้าหากสะสมที่ดินแล้วไม่สามารถทำประโยชน์ได้เท่าภาษีที่จะต้องจ่ายก็ควรจะ
ขายออกให้คนที่ต้องการใช้ดินทำประโยชน์ได้ดีกว่า
แน่นอนการเก็บภาษีที่ดินควรคิดในลักษณะ Chain Principle แบบเดียวกับที่
กลต. ตรวจสอบการถือหุ้นของนักลงทุน
โดยนับรวมการถือครองที่ดินของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ Nominee
และบริษัทที่มีอำนาจควบคุมด้วย เผื่อมีเศรษฐีหัวหมอเอาที่ดินไปซุกไว้
3. ภาษีบาป เช่น เหล้า บุหรี่ ผับ บาร์ สถานบันเทิง อาบอบนวด
ภาษีพวกนี้ขึ้นไปเยอะๆเลย ไม่มีคนกล้าค้านหรอก
ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรได้รับการสนับสนุนก็ควรจะเก็บภาษีมากๆ
เพื่อเอาเงินมาพัฒนาประเทศชาติ
ใครอยากเปิดผับเกินเที่ยงคืนให้เปิดไปแต่เก็บภาษีให้หนักๆ 50% หรือ 75%
เก็บไปมากๆไม่คุ้มทุนเดี๋ยวก็ปิดกันไปเอง แต่ถ้าจ่าย 75%
แล้วยังอยู่กันได้ก็ให้เปิดไป
แสดงว่าลูกค้ากระเป๋าหนักจริงอยากจ่ายเงินเพื่อพัฒนาสังคมก็ไม่ว่ากัน
4. ภาษีบุคคลธรรมดา อัตราสูงสุดของบุคคลธรรมดาปัจจุบันอยู่ที่ 35%
ซึ่งนับว่าต่ำ ความจริงถ้ารัฐร้อนเงินก็ควรเพิ่มขั้นภาษีขึ้นไปอีก เช่น
รายได้เกิน 10 ล้านบาทต่อปีคิด 40% รายได้เกิน 100 ล้านต่อปีคิด 50%
รายได้เกิน 500 ล้านต่อปีคิด 75% เป็นต้น
ในขณะเดียวกับก็คงภาษีเงินได้นิติบุคคลให้อยู่ในระดับต่ำ
เพื่อจูงใจให้เศรษฐีรายได้สูงเหล่านี้เอาเงินมาลงทุนให้เกิดรายได้ในรูปของ
บริษัทจำกัด เพื่อให้เกิดการการลงทุนและการจ้างงาน
รวมถึงการตรวจสอบแหล่งที่มาและที่ไปของเงินเพื่อการเสียภาษีอย่างถูกต้อง
ตัวอย่างของประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น อังกฤษมีพิกัดภาษีคนรวยที่ 50%
ฝรั่งเศสมีพิกัดภาษีคนรวยที่ 75%
ความจริงแค่เก็บภาษีสองข้อแรกได้
ผมว่าปัญหาการคลังของประเทศไทยก็จะโล่งไปได้เยอะแล้ว และเป็นสิ่งที่ควรทำ
เพราะหลักการสำคัญของการเก็บภาษีคือเอารายได้เหลือกินเหลือใช้ของคนรวยมา
ช่วยเหลือคนจนที่ขาดโอกาสให้ตั้งตัวได้ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ไม่ใช่เน้นเก็บภาษีคนส่วนใหญ่ที่หาเช้ากินค่ำ
แล้วมาเอื้อประโยชน์แก่คนรวยแล้วเหลือเป็นมรดกกินไปถึงลูกถึงหลาน
ผมยืนยันว่าผมไม่ใช่คนเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือเสื้อสีใดๆ
และไม่ใช่คนที่มีหัวเอียงทางสังคมนิยม หรือคอมมิวนิสต์
คนที่รู้จักผมดีจะรู้ว่าผมนี่แหละเป็นทุนนิยมแบบสุดๆแล้ว
แต่ผมก็เชื่อว่าทุนนิยมก็ควรจะมีคำว่าพอเพียง ภาพลักษณ์ของการเป็นมหาเศรษฐี
ไม่ควรเป็นแบบอย่างของการเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ หรือคอร์รับชั่น
มหาเศรษฐีก็สามารถแสดงออกถึงการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ อย่างที่ Warren
Buffet
ยอมบริจาคทรัพย์สินมากกว่าครึ่งของเขาให้กับกองทุนการกุศลที่จัดตั้งขึ้นโดย
Bill Gates
น่าเสียดายที่ผมไม่เชื่อว่าจนวันสุดท้ายของชีวิตผม
ผมจะได้เห็นการเก็บภาษีสองข้อแรก
เพราะผมเชื่อว่านักการเมืองไทยยังห่างไกลกับคำว่า “พอ” นัก
มีแล้วก็อยากมีเพิ่ม รวยแล้วก็อยากรวยขึ้น
ต่อให้รวยเป็นมหาเศรษฐีก็ยังอยากรวยขึ้นเพื่อไปติดอันดับโลกในนิตยสาร Forbe
อนิจจาตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้...
ขออนุญาตฝากลิงค์นะคะ
ตอบลบคาสิโนออนไลน์ ที่ปลอดภัย โอนเงินรวดเร็ว มั่นคง ถ่ายทอดสดจากสถานที่จริง ที่นี่เลยค่ะ
https://www.111player.com