สืบเนื่องจากรัฐบาลจะบรรจุพ.ร.บ.ลงทุนมูลค่า 2 ล้านล้านบาท
เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้
ดูเหมือนหลายคนจะมีความกังวลเรื่องการคอร์รัปชั่นอยู่พอสมควรทำให้เกิดกระแส
การต่อต้านพ.ร.บ.ดังกล่าว
ซึ่งก็ควรกังวลอยู่เพราะปัจจุบันการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นของข้าราชการและ
นักการเมืองถูกจำกัดและผูกขาดอยู่แค่หน่วยงานตรวจสอบ องค์กรอิสระ
และระบบรัฐสภาเท่านั้น
ซึ่งหน่วยงานตรวจสอบของรัฐก็มักขาดแรงจูงใจให้จับทุจริต
องค์กรอิสระก็มักจะถูกตั้งข้อสงสัยว่าโดนแทรกแซง
การตรวจสอบตามระบบรัฐสภาก็ไร้น้ำยา เพราะถึงจะจับทุจริตได้
พอโหวตในสภารัฐบาล (ไม่ว่าพรรคไหนก็ตามที่เป็น)
ก็สามารถใช้เสียงข้างมากโหวตจากผิดให้กลายเป็นถูกได้เสียอีก
ภาคประชาชนมีส่วนร่วมกับการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นน้อยมากถึงแทบจะไม่มีเลย
ด้วย
ความที่ผมเป็นคนที่ชอบทุนนิยมแบบสุดขั้วจะลองหลักทุนนิยมเสรีแบบง่ายๆ
มาประยุกต์เพื่อจะช่วยลดการคอร์รัปชั่นลงได้อย่างมีนัยสำคัญดู
วิธีก็ไม่ยากแค่แก้กฎหมายเรื่องเดียวเท่านั้น คือ….
เปิด
โอกาสให้ประชาชนทั่วไป
หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยสามารถมาฟ้องร้องข้าราชการ
พนักงานรัฐวิสาหกิจ
หรือนักการเมืองในข้อหาคอร์รัปชั่นได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านองค์กรอิสระ
หรืออัยการ ทั้งนี้ให้ถือว่าประชาชนทุกคน
และนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นผู้เสียหายจากการคอร์รัปชั่นเนื่อง
จากเป็นผู้เสียภาษีให้รัฐ
โดยหากคดีฟ้องร้องถึงที่สุดแล้วมีความผิดจริงตามคำฟ้องให้จ่ายส่วนแบ่ง 30%
ของทรัพย์สินที่อายัดได้จากผู้กระทำผิดให้กับผู้ที่ฟ้องร้องเอาผิด
และให้ส่วนแบ่งที่ได้รับนี้ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งจำนวนเพราะถือว่าไปตาม
เอาเงินที่โดนโกงไปกลับมาให้รัฐได้
วิธีนี้จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นมากขึ้น
เพราะมันคุ้มที่จะทำ
ลองนึกดูเล่นๆว่า
ถ้ามีกลุ่มข้าราชการและนักการเมืองซัก 10-20 คน
ร่วมกันคอร์รัปชั่นโครงการมูลค่า 100,000 ล้านบาท โดยยักยอกไปได้ 30%
ของมูลค่าโครงการก็ 30,000 ล้านบาท
พอถูกฟ้องร้องไหวตัวทันยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไปได้เหลือตามอายัดได้จริง
ซัก 20% ของทรัพย์สินที่โกงมาก็ยังตก 6,000 ล้านบาท
รัฐแบ่งกับผู้ฟ้องร้องในสัดส่วน 70:30 แปลว่ารัฐได้ไป 4,200 ล้านบาท
ผู้ฟ้องร้องได้ไป 1,800 ล้านบาท โอ้แม่เจ้า!!! 1,800 ล้านบาทเชียวนะ
เอาไปเที่ยวรอบโลกจนเหนื่อยตายยังเหลือเป็นมรดกให้ลูกหลานได้เลย
ผม
เชื่อว่าหากมีกฎหมายข้อนี้เกิดขึ้นจริง
จะมีสำนักงานกฎหมายเอกชนนับร้อยนับพันจัดตั้งขึ้นมาเพื่อตามจับโกงข้าราชการ
และนักการเมืองกันทั้งวันทั้งคืนแบบไม่ต้องไปทำคดีอื่น
เพราะถ้าเกิดฟลุ๊คจับเมกะโกงได้ครั้งเดียวก็เตรียมติดอันดับมหาเศรษฐีหน้า
ใหม่ได้เลย
นักการเมืองก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนโกงการเลือกตั้งเข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อเข้า
ไปโกงกินให้เสี่ยงติดคุก อยู่เป็นฝ่ายค้านไล่จับโกงก็รวยได้เหมือนกัน
ประสิทธิภาพการตรวจสอบก็จะสูงขึ้นแบบพุ่งกระฉูด
เพราะจริงๆแล้วหลักฐานการโกงมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ
เพียงแต่มันไม่มีแรงจูงใจมากพอให้ผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียลุกขึ้นมาแฉเท่า
นั้น ถ้ามีส่วนแบ่ง 30% มาจูงใจ
บางที่ข้าราชการน้ำดีที่ปัจจุบันต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการโกงหรือถูก
บังคับให้กินตามน้ำก็อาจลุกขึ้นมาแฉเจ้านายก็ได้เพราะมันคุ้มที่จะแฉ
ผู้รับเหมาก็ไม่จำเป็นต้องไปจ่ายใต้โต๊ะให้ข้าราชการและนักการเมือง
เพราะแค่เอาเบาะแสการทุจริตการประมูลของคู่แข่งไปยื่นฟ้องก็อาจได้ส่วนแบ่ง
30% แบบไม่ต้องลงทุน
พนักงานของบริษัทรับเหมาที่รู้เบาะแสการทุจริตก็อาจแอบเอาหลักฐานไปให้ทนาย
ฟ้องร้องบริษัทนายจ้างได้เหมือนกัน
ถึงจะโดนไล่ออกก็คุ้มเพราะถ้าชนะขึ้นมาก็อาจมีทุนก้อนใหญ่ไปตั้งบริษัทของ
ตัวเอง การทุจริตก็จะทำยากขึ้นจากปัจจุบันที่ล๊อบบี้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
องค์กรอิสระ หรือฝ่ายตรวจสอบแค่ไม่กี่คนก็ทำสำเร็จและเอาตัวรอดได้
กลายเป็นต้องไปล๊อบบี้ใครบ้างก็ไม่รู้ที่จ้องจะฟ้องเอาส่วนแบ่ง
และถึงรู้ก็ล๊อบบี้ได้ไม่หมด เพราะมันมีอยู่เยอะแยะเกลื่อนกลาด
และ
เพื่อเพิ่มความมันส์ในเกมส์จับผิดนี้
ก็ควรเพิ่มโทษสำหรับการคอร์รัปชั่นนอกจากแค่อายัดทรัพย์สินที่โกงมาได้
และติดคุกตามคดีอาญา การติดคุกมันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์กับใครอยู่แล้ว
เพราะต่อให้ข้าราชการหรือนักการเมืองจะติดคุกซักกี่ปีก็ไม่ได้ช่วยให้รัฐ
หรือประชาชนได้อะไร
ไม่สู้เพิ่มโทษอายัดทรัพย์เป็นสองเท่าของทรัพย์สินที่ทุจริตมาได้
เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งให้รัฐ และเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้จับผิดมากขึ้น
คนที่จะทุจริตก็ต้องคิดให้ดีๆ เพราะนอกจากจะมีคนจ้องจับผิดมากขึ้นแล้ว
ถ้าเกิดซวยโดนจับได้ขึ้นมาโดนยึดทรัพย์เป็นสองเท่า
มรดกเก่าที่หามาได้โดยสุจริตก็จะพลอยหายไปด้วย
เมื่อการโกง
มันยากขึ้น ต้นทุนการโกงสูงขึ้น ความเสี่ยงจากการโกงสูงขึ้น
คนจับโกงมีจำนวนมากขึ้นโดยสมัครใจ และตั้งหน้าตั้งตาจับโกงกันเป็นอาชีพ
คนคิดจะโกงก็จะเริ่มลังเล การคอร์รัปชั่นมันก็จะลดลงไปโดยปริยาย
แต่
ก็น่าเสียดาย (อีกเช่นเคย)
ที่ผมไม่คิดว่าชาตินี้นักการเมืองไทยจะโหวตให้กฎหมายข้อนี้ผ่านรัฐสภาออกมา
ได้ เพราะคงไม่มีใครอยากออกร่างกฎหมายที่เอื้อให้มีคนมาจับโกงตัวเองมากขึ้น
ทุจริตยากขึ้น เสียทรัพย์มากขึ้น
แนวคิดนี้ก็คงเป็นได้แค่เอามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันขำๆตาม Social Network
ตลอดไปนั่นแหละ ....เฮ้อ...
งานเขียนฉบับนี้เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนซึ่งอาศัยข้อ
สังเกตและประสบการณ์ส่วนตัวในตลาดทุนเท่านั้น
ไม่มีงานวิจัยใดๆสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อนึ่ง
ผู้เขียนแสดงทัศนะในบทความนี้ในเชิงส่วนตัวไม่ได้แสดงความเห็นแทนบริษัท
คณะบุคคล มูลนิธิหรือองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น
Written by
Indy Investor Forum
10 ตุลาคม 2556